วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 2

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 2

วันพุธ ที่ 18 เดือน มกราคม พ.ศ.2560 เวลา 08:30-12:30 น.



การเรียนการสอนของวันนี้
               ครูและนักศึกษาทุกคนมาตรงต่อเวลา นักศึกษาก็นำใบปั๊มมาปั๊มระหว่างเตรียมความพร้อมก่อนเรียนครูก็ได้พูดคุยกับนักศึกษาจนเตรียมสื่อการสอนเสร็จ ก็เริ่มเรียนหัวข้อที่เรียนในวันนี้  เรื่องประเภทของเด็กพิเศษที่มีความต้องการพิเศษ เนื้อหาการสอนเข้าใจง่ายมีาพประกอบไม่ทำให้น่าเบื่อเลยค่ะ และมีการถาม-ตอบขณะที่จบแต่ล่ะพ้อย ส่วนเนื้อหาการสอนของวันนี้สามารถเลื่อนลงไปดูด้านล่างได้เลยค่ะ วันนี้เราได้เก็บภาพบรรยากาศการเรียนการสอนมาให้ชมกันด้วยค่ะ  แต่เดี๋ยวมีเซอร์ไพร์หลังเลิกคาบด้วยน้าา จะมีอะไรต้องไปชมกันเลยยย

ภาพกิจกรรม

สนทนาพูดคุยก่อนเริ่มเรียน






บรรยายพร้อมอธิบาย มีการถาม-ตอบในชั้นเรียน









ภาพประกอบการเรียนการสอน


เนื้อหาการสอนของวันนี้

"เรื่อง ประเภทของเด็กพิเศษที่มีความต้องการพิเศษ"

แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง 
        มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ” เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
     -พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
     -เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย 
     -อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม 
     -มีเหตุผลในการแก้ปัญหา  การใช้สามัญสำนึก
     -จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
     -มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
     -มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
     -เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต 
     -มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน 
     -ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน

ความแตกต่างระหว่างเด็ก เด็กฉลาด และ Gifted
       
       เด็กฉลาด
  • ตอบคำถาม
  • สนใจเรื่องที่ครูสอน
  • ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน 
  • ความจำดี
  • เรียนรู้ง่ายและเร็ว 
  • เป็นผู้ฟังที่ดี 
  • พอใจในผลงานของตน
     Gifted
  • ตั้งคำถาม 
  • เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
  • ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
  • อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน
  • เบื่อง่าย  
  • ชอบเล่า 
  • ติเตียนผลงานของตน 
2.  กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา 
2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน 
3.  เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา 
4. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น 
5. เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ 
6. เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ 
8. เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้ 
9. เด็กออทิสติก
10.เด็กพิการซ้อน

1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities) 
                 หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า 
 - สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
- เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
- ขาดทักษะในการเรียนรู้
- มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
- มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90 

สาเหตุของการเรียนช้า
1. ภายนอก
-เศรษฐกิจของครอบครัว
-การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
-สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
-การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
-วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
2. ภายใน
-พัฒนาการช้า
-การเจ็บป่วย

เด็กปัญญาอ่อน
 - ระดับสติปัญญาต่ำ 
- พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย 
- มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
- อาการแสดงก่อนอายุ 18 

พฤติกรรมการปรับตน

  • การสื่อความหมาย
  • การดูแลตนเอง 
  • การดำรงชีวิตภายในบ้าน
  • การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม 
  • การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
  • การควบคุมตนเอง
  • การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
  • การใช้เวลาว่าง
  • การทำงาน
  • การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น
เด็กปัญญาอ่อน
       แบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34 
3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70 

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
  • ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
  • ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
  • ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
  • ทำงานช้า
  • รุนแรง ไม่มีเหตุผล
  • อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
  • ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
สาเหตุ

  • ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 
  • ที่พบบ่อยคือโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง (Trisomy 21)
อาการ
-ศีรษะเล็กและแบน  คอสั้น 
-หน้าแบน ดั้งจมูกแบน 
-ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก 
-ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
-เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต 
-ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ 
-มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น 
-เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ 
-ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง 
-มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
-บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
-อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
-มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
-อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง

การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดกลุ่มอาการดาวน์
  • การเจาะเลือดของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์ 
  • อัลตราซาวด์  
  • การตัดชิ้นเนื้อรก
  • การเจาะน้ำคร่ำ  
2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired ) 
             หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก 

เด็กหูตึง 
            หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ 
        2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dBเด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้ มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
        3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB
          - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
          - เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
          - มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
         - มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
         - พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
       4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
         - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
 - ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
 - การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง 
         - เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง  
         - เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด

เด็กหูหนวก
 - เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
- เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
- ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
- ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป

ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน

  • ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
  • ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
  • พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
  • พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
  • พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
  • เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
  • รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
  • มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย

3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments) 
- เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
- มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
- สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
- มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
จำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท

เด็กตาบอด 
- เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
- ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
- มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา

เด็กตาบอดไม่สนิท 
- เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา  
- สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
- เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
- มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น

  • เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
  • มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
  • มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
  • ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
  • เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
  • ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
  • มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
เซอร์ไพร์ ลงคลิปไม่ได้ลงรูปแทนน้าค้าา










เนื่องในวันที่ 16 เป็นวันครูซึ่งไม่ได้เรียนกับครู วันนี้เลยมากราบครู ทุกคนตั้งใจมากราบครูในวันนี้ด้วยใจมีพวงมาลัยพวงน้อยๆมามอบให้แทนใจ ขอบคุณคุณครูที่ไม่เคยทิ้งพวกเรา ขอบคุณที่คอยพร่ำสอน คอยชี้ทางให้ขอบคุณทุกๆอย่างที่มอบให้ ด้วยรักและเคารพ




ความรู้ที่ได้รับและการนำไปประยุกต์ใช้ 
      ได้ความรู้เกี่ยวกับเด็กพิเศษว่ามีกี่ประเภทมีลักษณะอย่างไรสาเหตุที่เกิดวิธีการดูแลรักษาซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากหากในอนาคตได้สอนเด็กๆเหล่านี้ก็ใช้วิธีการดูแลและการเข้าใจเด็กเป็นการเตรียมความพร้อมและสามารถนำไปใช้ได้จริงกับกลุ่มเด็กพิเศษเพื่อพัฒนาเด็กใหห้อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข


การประเมินผล

ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียน ฟังครู  ถ่ายรูปกิจกรรมลงบล็อก และจดบันทึก กระตือรือร้นให้ความร่วมมือทำกิจกรรม

ประเมินเพื่อน : เพื่อนๆตั้งใจเรียน ให้ความสนใจและให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม

ประเมินอาจารย์ : ครูผู้สอนมีการเตรียมความพร้อมทั้งเนื้อหาสาระการแต่งกายที่ถูกต้องเหมาะสม มีความเป็นกันเองไม่ลำเอียงครูน่ารักสามารถปรึกษาได้ทุกๆเรื่องค่ะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น