วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 3

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 3
วันพุธ ที่ 25 เดือน มกราคม พ.ศ.2560 เวลา 08:30-12:30 น.


การเรียนการสอนของวันนี้
              วันนี้มากันพร้อมเพียง เข้าห้องมาสิ่งแรกที่ต้องทำคือก็นำใบปั๊มมาปั๊มระหว่างเตรียมความพร้อมก่อนเรียนครูก็ได้พูดคุยกับนักศึกษาจนเตรียมสื่อการสอนเสร็จ ก็เริ่มเรียนหัวข้อที่เรียนในวันนี้  เรื่อง ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เนื้อหาการสอนต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว ครั้งนี้จะเกี่ยวกับการพูดและภาษา วันนี้มีภาพตัวอย่างของลักษณะของอาการต่างๆและคลิปวิดีโอมาให้ชมในชั้นเรียน หลังเรียนเสร็จก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับเวลาเรียนการทำบล็กครูจะไม่อยู่เนื่องจากติดภาระกิจในสัปดาห์ถัดไปจึงได้สั่งงานไว้คือให้ทำบล็อกให้ครบทั้งหมดที่เรียนมาแล้วมาลิงค์ในคาบในสัปดาห์ที่เข้าเรียน ส่วนเนื้อหาการสอนของวันนี้สามารถเลื่อนลงไปดูด้านล่างได้เลยค่ะ วันนี้เราได้เก็บภาพบรรยากาศการเรียนการสอนมาให้ชมกันด้วยค่ะ  



ภาพกิจกรรม


ภาพนักศึกษาในขณะเรียนมีความตั้งใจมากค่ะ








เนื้อหาการสอนเกี่ยวกับการพูดและภาษา















ภาพและคลิปวิดีโอทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น



เนื้อหาการสอนของวันนี้

"เรื่อง ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ"

4. เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (Children with Speech and Language Disorders)

เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด
              หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องซึ่งเกิดจากการพูดผิดปกติ ในด้านความชัดเจนในการปรับปรุงแต่งระดับและคุณภาพของเสียง จังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด

1. ความบกพร่องในด้านการปรุงเสียง (Articulator Disorders) 

  • เสียงบางส่วนของคำขาดหายไป "ความ" เป็น "คาม"
  • ออกเสียงของตัวอื่นแทนตัวที่ถูกต้อง "กิน" "จิน"  กวาด ฟาด
  • เพิ่มเสียงที่ไม่ใช่เสียงที่ถูกต้องลงไปด้วย "หกล้ม" เป็น "หก-กะ-ล้ม"
  • เสียงเพี้ยนหรือแปล่ง "แล้ว" เป็น "แล่ว"

2. ความบกพร่องของจังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด (speech Flow Disorders)
  • พูดไม่ถูกตามลำดับขั้นตอน ไม่เป็นไปตามโครงสร้างของภาษา
  • การเว้นวรรคตอนไม่ถูกต้อง
  • อัตราการพูดเร็วหรือช้าเกินไป
  • จังหวะของเสียงพูดผิดปกติ
  • เสียงพูดขาดความต่อเนื่อง สละสลวย
3. ความบกพร่องของเสียงพูด (Voice Disorders) 

  • ความบกพร่องของระดับเสียง
  • เสียงดังหรือค่อยเกินไป
  • คุณภาพของเสียงไม่ดี
ความบกพร่องทางภาษา 
        หมายถึง การขาดความสามารถที่จะเข้าใจความหมายของคำพูด และ/หรือไม่สามารถแสดงความคิดออกมาเป็นถ้อยคำได้


1. การพัฒนาการทางภาษาช้ากว่าวัย (Delayed Language)  

  • มีความยากลำบากในการใช้ภาษา
  • มีความผิดปกติของไวยากรณ์และโครงสร้างของประโยค
  • ไม่สามารถสร้างประโยคได้
  • มีความบกพร่องทางเชาว์ปัญญา อารมณ์ สมองผิดปกติ
  • ภาษาที่ใช้เป็นภาษาห้วน ๆ

2. ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่า Dysphasia หรือ aphasia 
  • อ่านไม่ออก (alexia) 
  • เขียนไม่ได้ (agraphia ) 
  • สะกดคำไม่ได้
  • ใช้ภาษาสับสนยุ่งเหยิง
  • จำคำหรือประโยคไม่ได้
  • ไม่เข้าใจคำสั่ง
  • พูดตามหรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้
Gerstmann’s syndrome 
= ไม่รู้ชื่อนิ้ว (finger agnosia) 
= ไม่รู้ซ้ายขวา (allochiria) 
= คำนวณไม่ได้ (acalculia) 
= เขียนไม่ได้ (agraphia)
= อ่านไม่ออก (alexia) 

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา 
  • ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ ร้องไห้เบา ๆ และอ่อนแรง 
  • ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10 เดือน 
  • ไม่พูดภายในอายุ 2 ขวบ 
  • หลัง 3 ขวบแล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก 
  • ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้ 
  • หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา 
  • มีปัญหาในการสื่อความหมาย พูดตะกุกตะกัก 
  • ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย 
5. เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ (Children with Physical and Health Impairments) 
  • เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน 
  • อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป 
  • เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรง
  • มีปัญหาทางระบบประสาท
  • มีความลำบากในการเคลื่อนไหว
โรคลมชัก (Epilepsy)
1.การชักในช่วงเวลาสั้น ๆ (Petit Mal)
2.การชักแบบรุนแรง (Grand Mal)
3.อาการชักแบบ Partial Complex
4.อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial)
5.ลมบ้าหมู (Grand Mal)

การปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐาน ในกรณีเด็กมีอาการชัก

  • จับเด็กนอนตะแคงขวาบนพื้นราบที่ไม่มีของแข็ง
  • ไม่จับยึดตัวเด็กขณะชัก
  • หาหมอนหรือสิ่งนุ่มๆรองศีรษะ
  • ดูดน้ำลาย เสมหะ เศษอาหารออกจากปาก เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
  • จัดเสื้อผ้าเด็กให้หลวม
  • ห้ามนำวัตถุใดๆใส่ในปาก
  • ทำการช่วยหายใจโดยวิธีการเป่าปากหากเด็กหยุดหายใจ

ซี.พี. (Cerebral Palsy) 

  • การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ หรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด 
  • การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพี มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่าง ๆ ของสมองแตกต่างกัน 
1.กลุ่มแข็งเกร็ง (spastic)

  • spastic hemiplegia อัมพาตครึ่งซีก
  • spastic diplegia อัมพาตครึ่งท่อนบน
  • spastic paraplegiaอัมพาตครึ่งท่อนบน
  • spastic quadriplegia อัมพาตทั้งตัว

2.กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเอง(athetoid , ataxia)
  • athetoid อาการขยุกขยิกช้า ๆ หรือเคลื่อนไหวเร็วๆที่เท้า แขน มือ หรือที่ใบหน้าของ เด็กบางรายอาจมีคอเอียง ปากเบี้ยวร่วมด้วย
  • ataxiaมีความผิดปกติในการทรงตัวของร่างกาย กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
3. กลุ่มอาการแบบผสม (Mixed) 

กล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscular Distrophy) 

  • เกิดจากเส้นประสาทสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนนั้น ๆ เสื่อมสลายตัว 
  • เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนอยู่กับที่ 
  • จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม
โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ (Orthopedic) 
             ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด เช่น เท้าปุก (Club Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน อัมพาตครึ่งท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida)
  • ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ (Infection) เช่น วัณโรค กระดูกหลังโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนอง เศษกระดูกผุ
  • กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ

โปลิโอ (Poliomyelitis) 
  • มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
  • ยืนไม่ได้ หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยอุปกรณ์เสริม 

โรคกระดูกอ่อน (Osteogenesis Imperfeta)
โรคศีรษะโต (Hydrocephalus)
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) 
โรคระบบทางเดินหายใจ
โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)
โรคหัวใจ (Cardiac Conditions)
โรคมะเร็ง (Cancer) 
เลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia)
แขนขาด้วนแต่กำเนิด (Limb Deficiency) 
Lena Maria
Nick Vujicic

ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ 
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว 
  • ท่าเดินคล้ายกรรไกร
  • เดินขากะเผลก หรืออึดอาดเชื่องช้า
  • ไอเสียงแห้งบ่อย ๆ 
  • มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง 
  • หน้าแดงง่าย มีสีเขียวจางบนแก้ม ริมฝีปากหรือปลายนิ้ว 
  • หกล้มบ่อย ๆ
  • หิวและกระหายน้าอย่างเกินกว่าเหตุ

ความรู้ที่ได้รับและการนำไปประยุกต์ใช้ 
      ได้ความรู้เกี่ยวกับเด็กพิเศษว่ามีกี่ประเภทมีลักษณะอย่างไรสาเหตุที่เกิดวิธีการดูแลรักษาซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากหากในอนาคตได้สอนเด็กๆเหล่านี้ก็ใช้วิธีการดูแลและการเข้าใจเด็กเป็นการเตรียมความพร้อมและสามารถนำไปใช้ได้จริงกับกลุ่มเด็กพิเศษเพื่อพัฒนาเด็กใหห้อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

การประเมินผล

ประเมินตนเอง : ตั้งใจเรียน ฟังครู  ถ่ายรูปกิจกรรมลงบล็อก และจดบันทึก กระตือรือร้นให้ความร่วมมือทำกิจกรรม

ประเมินเพื่อน : เพื่อนๆตั้งใจเรียน ให้ความสนใจและให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม

ประเมินอาจารย์ : ครูผู้สอนมีการเตรียมความพร้อมทั้งเนื้อหาสาระการแต่งกายที่ถูกต้องเหมาะสม มีความเป็นกันเองไม่ลำเอียงครูน่ารักสามารถปรึกษาได้ทุกๆเรื่องค่ะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น